วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การซ่อมแซมบ้าน (หลังน้ำท่วม)


รอบบ้านมีน้ำท่วมจะทำอย่างไร

          ในกรณีที่บริเวณรอบบ้านต่ำกว่าถนนสาธารณะ ซึ่งเพิ่มความสูงมาทีหลัง ทำให้บ้านต่ำ มาก มีวิธีแก้ปัญหาดังนี้
การแก้ปัญหาก็คือ ทางเข้าหน้าบ้านทำความลาดเป็นลักษณะหลังเต่า เพื่อป้องกันน้ำจากถนนไม่ให้เข้าบริเวณบ้าน และต้องทำขอบคันดินรอบบ้านหรือทำรั้วด้านล่างให้ทึบ เพื่อป้องกันน้ำ พร้อมทั้งทำท่อระบายน้ำรอบบ้าน โดยมีบ่อพักรวม เพื่อปั๊มน้ำออกนอกบ้านเมื่อเวลาจำเป็น  อีกวิธีถ้ามีเงินพอ ก็ควรถมที่ให้สูงกว่าระดับถนนสาธารณะเลย ก็จะแก้ปัญหาได้ถาวร

การยกบ้านเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม

          ถ้าน้ำท่วมมากๆ จะยกบ้านให้หนีปัญหาน้ำท่วมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีสิ่งต่างๆ ที่ต้องระวัง อย่างมาก  ถ้าเป็นบ้านที่มีโครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้ ก็พอที่จะเป็นไปได้ เพราะมีน้ำหนักเบา  แล้วการยึดส่วนต่างๆ ก็ยังยืดหยุ่นได้มากกว่า  ถ้าเป็นบ้านที่มีโครงสร้างเป็นปูน ส่วนต่างๆ จะยึดติดกันเป็นเนื้อเดียว ซึ่งเมื่อบิดเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดการแตกร้าวได้ ทั้งยังมีน้ำหนักมากด้วย และบ้านปูนยังมีเสาเข็มที่หล่อติดกับตัวฐานราก จะต้องตัดออกแล้วเสริมฐานรากใหม่ ซึ่งทำได้ยากมาก
          นอกจากโครงสร้างแล้ว ยังมีงานระบบต่างๆ ที่ติดกับพื้นดิน เช่น ท่อประปา ท่อไฟฟ้า ส่วนต่างๆ เหล่านี้ต้องตัดออก แล้วเชื่อมใหม่ทั้งสิ้น ค่อนข้างยุ่งยาก  ถ้าผู้รับเหมาไม่มีความชำนาญพอ ก็จะเสี่ยงมาก อาจจะเสียบ้านไปทั้งหลัง ค่าใช้จ่ายเหมือนสร้างใหม่เลย

สาเหตุที่น้ำซึมขึ้นมาบนพื้นเวลาน้ำท่วม

          ถ้าเวลาน้ำท่วมบ้าน เกิดน้ำซึมขึ้นมาบนพื้นห้อง อาจจะเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
          1.โครงสร้างพื้นแตกร้าวอยู่เดิมแล้ว หรืออาจจะเกิดจากแรงดันน้ำก็ได้ แก้ไขโดยสกัดออกให้ร่อง แล้วใช้กาวคอนกรีตอุดให้เรียบร้อย แล้วจึงปิดด้วยวัสดุปูพื้นให้เหมือนเดิม
          2. เนื่องจากพื้นเป็นพื้นสำเร็จรูป หรือระบบพื้นที่วางอยู่บนดิน ไม่ได้ต่อยึดกับคาน  ถ้ามีรอยซึมสามารถใช้ซิลิโคนอุดรอยรั่วได้
          3. เกิดจากรูที่บริษัทกำจัดปลวกเจาะทิ้งไว้ วิธีแก้ไข เมื่อเจอรูแล้วก็อุดเสียให้เรียบร้อยด้วยไม้ และอุดทับด้วยซิลิโคน

 

การซ่อมแซมพื้นบ้านหลังน้ำท่วม

หลังน้ำท่วมถ้าพื้นไม่เสียหาย ก็ทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก็สามารถใช้ได้ แต่ถ้าเสียหาย มีวิธีแก้ไข คือ
-พื้นไม้ปาร์เก้ จะหลุดล่อนง่ายเมื่อโดนน้ำท่วม เพราะติดกับพื้นคอนกรีตด้วยกาว  วิธีแก้ก็คือ ถ้าแผ่นปาร์เก้ไม่เสียหายมากก็ผึ่งลมให้แห้งก่อน รวมถึงพื้นคอนกรีตด้วย  แล้วจึงทาด้วยกาวลาเท็กซ์ หนา 1-2 มิลลิเมตร ค่อยๆ กดลงไปที่เดิมให้แน่น ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 วันจึงใช้งานได้ ถ้าเสียหายมากจะเปลี่ยนใหม่ต้องใช้ไม้ชนิดเดียวกับของเดิม
-พื้นพรมต้องลอกออก แล้วนำไปซักและตากแดดให้แห้งสนิท แล้วจึงนำกลับมาปูใหม่ โดยพื้นคอนกรีตต้องแห้งก่อนเช่นเดียวกัน


การซ่อมแซมผนังบ้านหลังน้ำท่วม

         วัสดุต่างๆ ที่ใช้ทำผนังบ้าน เมื่อเวลาถูกน้ำท่วมนานๆ ก็จะเกิดความเสียหายแน่นอน มี วิธีแก้ไข คือ
         1. ถ้าเป็นผนังไม้ เช็ดทำความสะอาด เพื่อให้ผิวสามารถระเหยความชื้นได้ง่าย เมื่อแห้ง ดีแล้วใช้น้ำยารักษาเนื้อไม้ชะโลมที่ผิว หรือทาสีต่อไป วิธีที่ดีควรทาสีด้านในบ้านก่อน ทิ้งไว้ 5-6 เดือน จึงทาสีด้านนอก
         2. ถ้าเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูน ก็ใช้วิธีเดียวกับผนังไม้ แต่ต้องทิ้งให้ระเหยความชื้นนานกว่า  ผนังไม้ เพราะมีความหนามากกว่า
         3. ถ้าเป็นผนังยิบซั่มบอร์ด ก็เลาะเอาแผ่นที่เสียออก ถ้าโครงเคร่าเป็นโลหะก็สามารถติดแผ่นใหม่ได้เลย แต่ถ้าโครงเคร่าเป็นไม้ ต้องทิ้งไว้ให้ความชื้นในไม้ระเหยหมดก่อน จึงจะติดแผ่น ใหม่ได้

การซ่อมวอลล์เปเปอร์หลังน้ำท่วม

          เมื่อน้ำท่วมบ้านที่มีผนังบุด้วย วอลล์เปเปอร์ มีวิธีแก้ไขและซ่อมแซม ดังนี้ วอลล์เปเปอร์จะมีลักษณะคล้ายสี ถ้าโดนความชื้นมากๆ  จะลอกหรือร่อน การแก้ไขก็โดยการลอกออกให้หมด เพื่อให้ผนังที่ชื้นสามารถระเหยออกมาได้ โดยรอให้ผนังแห้งจริงๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วจึงปิด วอลล์เปเปอร์ทับลงไป อาจจะปิดเองถ้าทำได้ หรือตามช่างมา ก็ได้ ถ้าส่วนไหนขึ้นราหรือเป็นคราบเช็ดไม่ออก ก็สามารถเปลี่ยนแผ่นใหม่ โดยเลือกให้มีลวดลายเหมือนเดิม ก็จะได้ผนังสวยงามเหมือนก่อนน้ำท่วม

 การซ่อมแซมฝ้าเพดานบ้านหลังน้ำท่วม

           การซ่อมแซมฝ้าเพดาน จะมีลักษณะคล้ายๆ การซ่อมผนังและพื้นปนกัน มีวิธีการแก้ไขคือ ถ้าเป็นฝ้าเพดานยิปซั่มบอร์ด หรือกระดาษอัด  ถ้าเปื่อยยุ่ยมากเพราะอมน้ำ ก็ควรเลาะ ออกแล้วจึงเปลี่ยนแผ่นใหม่เลย ทิ้งไว้ให้ทั้งหมดแห้งสนิทจริงๆ แล้วจึงทาสีทับ
           - ถ้าเป็นฝ้าโลหะ ให้เช็ดทำความสะอาดให้แห้ง ถ้าเป็นสนิม ก็ใช้กระดาษทรายขัดออกให้เรียบร้อย แล้วจึงทาสีทับเข้าไปใหม่
           - ระบบสายไฟส่วนใหญ่ จะเดินในฝ้าเวลาเปิดฝ้าเข้าไปต้องตรวจดูว่าความเรียบร้อยว่า มีส่วนใดชำรุดหรือเปล่าด้วย
           - ถ้าโครงฝ้าเพดานที่เป็นไม้ เกิดการแอ่นหรือทรุดตัว ต้องแก้ไขให้ได้ระดับก่อนการติดตั้งแผ่นฝ้าใหม่

การซ่อมแซมประตู หลังน้ำท่วม

          ประตูต่างๆ เมื่อถูกน้ำแช่อยู่นานๆ ก็จะบวมขึ้น หรือไม่ก็จะเกิดเป็นสนิม มีวิธีแก้ไขคือ
          1. ประตูไม้ เมื่อโดนแช่น้ำก็จะบวมและผุพัง มีวิธีแก้ก็โดยทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วซ่อมแซมส่วนที่ผุให้เรียบร้อยแล้วจึงทาสีใหม่ แต่ถ้าผุมาก ก็ควรจะเปลี่ยนเลย
          2.ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม ก็ใช้กระดาษทรายขัดสนิมออกให้หมด เช็ดให้สะอาดแล้วจึงทาสีใหม่ โดยอย่าลืมทาสีกันสนิมก่อน แต่อย่าลืมดูรอยต่อต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นท่อโครงเหล็กว่า มีน้ำหลงเหลืออยู่เหลือเปล่า ต้องให้แห้งจริงๆ ก่อนจึงจะทาสีได้

การซ่อมแซม บานพับ ลูกบิด และรูกุญแจหลังน้ำท่วม

อุปกรณ์ต่างๆ เช่น บานพับ ลูกบิด และรูกุญแจ ทำด้วยโลหะ เมื่อโดนน้ำท่วมย่อมมี ปัญหาตามมา มีวิธีแก้ไข คือ
          - เช็ดให้แห้งสนิท ขัดส่วนที่เป็นสนิมออกให้หมด ใช้พวกน้ำยาหล่อลื่นชโลมตามจุดรอยต่อและรูต่างๆ ให้ทั่ว
          - อย่าใช้จาระบี หรือพวกขี้ผึ้งทา เพราะจะทำให้ความชื้นระเหยออกไม่ได้ จะทำให้ฝังอยู่ข้างใน และจะเป็นปัญหาในภายหลัง
          - ถ้ายังใช้การไม่ได้ ก็ลองทำตามวิธีที่ว่านี้หลายๆ ครั้ง ถ้ายังมีปัญหา ก็ควรจะต้องถอดออก แล้วซื้อมาเปลี่ยนใหม่

การทาสีบ้านหลังน้ำท่วม

         การทาสีบ้านหลังน้ำท่วม ควรจะทำเป็นสิ่งสุดท้าย ควรที่จะซ่อมแซมส่วนอื่นๆ เสียก่อน ปล่อยให้แห้งสนิทก่อน แล้วจึงทำการแก้ไข  เพราะสีทุกชนิดที่ใช้ทาบ้าน เมื่อโดนน้ำท่วมนานๆ ก็จะเกิดการลอกและล่อนออกมาได้ เนื่องจากความชื้นของน้ำ วิธีแก้ไขคือ ต้องขูดสีเดิมที่ลอกและล่อนออก ทำความสะอาดผนังให้เรียบร้อย ทิ้งไว้ให้แห้งสนิท ถ้าทำได้ควรจะเป็น 3-6 เดือนเลยยิ่งดี เมื่อแห้งแล้วจึงทาสีรองพื้นชนิดกันเชื้อรา แล้วจึงทาทับด้วยสีจริงอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง

การตรวจสอบระบบประปาหลังน้ำท่วม

         หลังน้ำท่วมระบบที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามไปก็คือ ระบบประปาภายในบ้าน มีสิ่ง ที่ควรตรวจสอบ ดังนี้
          - ถังเก็บน้ำใต้ดิน ต้องตรวจดูว่าน้ำท่วมถึงหรือเปล่า ถ้าท่วมควรล้างภายในถังทั้ง หมด เพราะน้ำที่ท่วมไม่สะอาดเท่าน้ำประปา
         - ถ้ามีปั๊มน้ำต้องตรวจดูว่าเครื่องทำงานผิดปกติหรือเปล่า แรงดันน้ำลดหรือไม่ ถัง อัดลมเก็บแรงอัดไว้ได้นานหรือเปล่า แต่ถ้าน้ำท่วมปั๊ม ต้องรอให้แห้งเสียก่อน อย่าใช้งานทันที ถ้ามีปัญหาควรตามช่างมาแก้ไขจะดีกว่า เพราะอาจจะทำให้ไฟไหม้ได้

ปัญหาต่างๆ ของส้วมหลังน้ำท่วม

         ปัญหาต่างๆ ของบ้านหลังน้ำท่วมจะมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับส้วมมีในระหว่างน้ำท่วม เราคงปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด  แต่เมื่อน้ำลดแล้ว เราต้องตรวจสอบดังนี้
         1. เปิดคัตเอ๊าต์ให้ไฟเข้าระบบ ถ้าส่วนใดยังชื้นอยู่คัตเอ๊าต์จะตัดและฟิวส์จะขาดทิ้งไว้ประมาณ 1 >วัน เปลี่ยนฟิวส์ แล้วลองเปิดใหม่ ถ้ายังตัดอีก คงต้องตามช่างไฟฟ้ามาตรวจดู
         2. เมื่อไฟไม่ตัดแล้วลองเปิดไฟดูทุกดวง แล้วใช้ไขควงชนิดตรวจกระแสไฟโดยเฉพาะ
         3. ดับไฟทุกจุดและถอดเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปลั๊กออกทั้งหมด แล้วตรวจดูที่มิเตอร์ไฟฟ้าว่าตัวเลขยังเดินอยู่หรือเปล่า ถ้าเดินแสดงว่าระบบไฟฟ้าในบ้านรั่ว ควรตามช่างไฟฟ้ามาเช็คดู

วิธีเตรียมระบบไฟฟ้าสำหรับบ้านที่น้ำท่วม

         ระบบไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มีอันตรายมาก สำหรับบ้านที่น้ำท่วมเป็นประจำ ควรเตรียมระบบไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
          - ตัดระบบไฟฟ้าของปลั๊กเดิมทิ้ง ย้ายให้สูงขึ้นมาจากระดับพื้นประมาณ 1 เมตร เพื่อให้พ้นระดับน้ำ ส่วนชั้นบนของบ้านสองชั้นไม่จำเป็นต้องย้าย เพราะระดับน้ำท่วมไม่ถึง
          - แยกระบบไฟฟ้าในส่วนที่น้ำท่วมบ่อยๆ ออกเป็นอีกวงจรหนึ่ง เพื่อสะดวกในการปิด- เปิดโดยเฉพาะ ส่วนปลั๊กที่อยู่ชั้นล่าง
         ถ้าท่านรู้ตัวว่าบ้านของท่านอยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมบ่อย เวลาออกแบบ้านก็ควรให้วิศวกรแยกระบบไฟฟ้าตั้งแต่แรก ก็จะประหยัดงบประมาณได้มาก และจะสวยงามกว่าที่จะมารื้อและแก้ ไขในภายหลัง

วิธีจะใช้เครื่องไฟฟ้าหลังโดนน้ำท่วม

         เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ จะมีมอเตอร์และเครื่องจักรกลต่างๆ เมื่อโดนน้ำเข้าไปแล้วจะมี ความชื้นอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายมาก มีข้อควรปฏิบัติ  ดังนี้
          - ก่อนอื่นต้องทิ้งเอาไว้ให้แห้งสนิทจริงๆ บางส่วนถึงถอดออกได้ ก็ควรเปิดออกมาตากลมให้แห้งก่อน
          - เมื่อแน่ใจว่าแห้งแล้ว ก็ลองเปิดเครื่องดู ถ้ามีความผิดปกติก็ควรดับเครื่องทันที
          - และสำหรับที่คัตเอ๊าต์ไฟฟ้า ควรมีฟิวส์ไว้เมื่อเกิดการลัดวงจรไฟฟ้าจะได้ถูกตัดออก
          - ถ้ามีปัญหาจริงๆ ก็ควรนำไปให้ช่างแก้ไขดีกว่าจะทำเอง

การซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์หลังน้ำท่วม

          การซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ก็คล้ายๆ กับการซ่อมแซมพวกประตู หน้าต่าง พื้น หรือฝ้า เพดาน มีวิธีดังนี้
           - พยายามเอาความชื้นออกจากเฟอร์นิเจอร์ให้มากที่สุด
           - พวกประเภทที่บุด้วยนุ่นหรือฟองน้ำ ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนเลย เพราะน้ำจะพาเอาเชื้อโรคมาติดอยู่ ถึงจะตากแดดให้แห้ง เชื้อโรคก็ยังมีอยู่
           - เฟอร์นิเจอร์ที่ติดกับที่ที่เรียกว่า Built in ต้องตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้าง และสายไฟที่ฝังอยู่ในตู้ รวมถึงทำความสะอาดรูกุญแจและลูกบิด
           - ส่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม่ควรนำไปตากแดด เพราะจะทำให้บิดงอได้ และถ้าจะทาสีใหม่ ควรรอให้แห้งสนิทก่อน มิฉะนั้นจะลอกได้

วิธีช่วยต้นไม้ทีโดนน้ำท่วม

           ถ้าบ้านของท่าน น้ำท่วมนานๆ ต้นไม้กำลังจะตาย มีวิธีช่วยให้อยู่รอดได้ ดังนี้
            1. อย่าให้ปุ๋ย เพราะน้ำท่วมทำให้รากอ่อนแอ ต้องการเวลาพักฟื้น
            2. ขุดหลุมกว้างประมาณ 50 ซม.-1 เมตรไว้ข้างๆ ต้นไม้ เพื่อให้น้ำที่ขังอยู่บริเวณรากไหลมารวมกัน แล้วเอาเครื่องดูดน้ำออกไป หรือจะใช้วิธีตักออกก็ได้
            3. ถ้ารากต้นไม้ไม่แข็งแรง อย่าอัดดินลงไป จะทำให้ต้นไม้ตาย ควรใช้ไม้ค้ำยันลำต้นไว้ เมื่อรากแข็งแรงแล้ว จึงเอาไม้ค้ำออก

การซ่อมแซมรั้วบ้านหลังน้ำท่วม

           เมื่อน้ำท่วมอยู่นานๆ รั้วบ้านก็จะมีปัญหาเช่นกัน มีวิธีซ่อม คือ
            - ลองเล็งด้วยสายตา ถ้าเอียงเล็กน้อยก็นำไม้มาค้ำยันไว้ก่อน ถ้าเอียงมากก็ควร ตามช่างมาซ่อม
            - ส่วนใหญ่ข้างล่างของรั้วจะมีคานคอดินอยู่ บางครั้งน้ำจะพัดเอาดินใต้คานนี้หายไปเป็นโพรง ต้องรีบนำดินมาถมให้แข็งแรง มิฉะนั้นดินในบ้านจะไหลออกไปข้างนอกหมด ถ้าไหลออกไปมากๆ อาจทำให้บ้านเอียงได้
           - ควรตรวจประตูรั้วด้วย สำหรับที่เป็นเหล็กก็ขูดสนิมออกให้หมด แล้วทาสีใหม่ ส่วนบานพับก็หาน้ำมันหล่อลื่นมาหยอดเพื่อที่จะได้เปิด-ปิดได้สะดวก ถ้าเสียหายมากก็ควรเรียกช่างมาเปลี่ยนใหม่

ทำช็อกดลแลตที่บ้านด้วยตัวเอง


อุปกรณ์
1. ช็อกโกแลตบาร์ขนาด 100 กรัม  4 แท่ง (Home Chocolate Kits)
2. แม่พิมพ์ช็อกโกแลต 1 อัน (Home Chocolate Kits)
3. มีดขนาดกลาง อัน
4. ชามขนาดกลาง 1 ใบ และขนาดเล็ก 1 ใบ
5. เขียงสะอาด 1 อัน
6. ช้อนสำหรับคน 1 อัน
7. เตาไมโครเวฟ
ขั้นตอนการทำ
1. นำช็อกโกแลตบาร์ 1 แท่ง หั่นอย่างละเอียดโดยเริ่มจากมุม และนำช็อกโกแลตที่ได้ใส่ชามขนาดเล็กพักเก็บไว้ในตู้เย็น ( Seed Chocolate)
2. นำช็อกโกแลตบาร์ ที่เหลือ 3 แท่งหั่นละเอียดพอประมาณโดยเริ่มจากมุม นำช็อกโกแลตที่ได้ใส่ชามขนาดกลาง 
                                              
3. นำช็อกโกแลตชามขนาดกลางเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้ไฟปานกลาง ตั้งเวลา 45 วินาที แล้วนำช็อกโกแลตออกมาคน
                                  
4. หลังจากช็อกโกแลตคลุกเคล้าเข้ากันดีแล้ว นำไปเข้าไมโครเวฟอีกครั้งโดยใช้ไฟปานกลาง ตั้งเวลา 45 วินาทีเหมือนเดิม
5. นำช็อกโกแลตออกมาคนให้ละลายจนหมด
6. พักช็อกโกแลตทิ้งไว้ 30 นาทีในอุณหภูมิห้องปกติ (ห้ามทิ้งไว้ในห้องแอร์)
7. นำช็อกโกแลตในชามขนาดเล็กที่พักไว้ในตู้เย็นออกมาค่อยๆเทใส่สลับกับคนช็อกโกแลตจนละลายหมดเป็นเนื้อเดียวกัน   
                                                  
8. ทำการทดสอบช็อกโกแลตที่ได้นั้นว่า สามารถนำไปเทลงแม่พิมพ์ได้หรือไม่ โดยการตักช็อกโกแลต 1 ช้อนลงบนแผ่นทดสอบที่เราเตรียมไว้ให้ (ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ห้ามลัดขั้นตอนโดยเด็ดขาด)
9. นำช็อกโกแลตสำหรับทดสอบไปแช่ตู้เย็น (ห้ามแช่ช่องทำน้ำแข็ง) ประมาณ 10 นาที
10. นำช็อกโกแลตที่ทดสอบนั้นออกมาดูว่าใช้ได้หรือไม่ ช็อกโกแลตที่ได้นั้นจะต้องมีลักษณะดังนี้
- จะต้องเป็นเนื้อสีเดียวกันไม่มีจุดหรือเป็นลาย
- เมื่อใช้นิ้วแตะเบาๆ ช็อกโกแลตจะต้องไม่ติดนิ้ว
- เมื่อลอกช็อกโกแลตออกจากแผ่นทดสอบจะต้องลอกออกได้ง่าย และไม่มีคราบช็อกโกแลตติดอยู่บนแผ่นทดสอบ
11. หากช็อกโกแลตที่ทดสอบนั้นไม่มีลักษณะดังกล่าวครบทุกข้อ ให้นำช็อกโกแลตที่ทดสอบนั้นใส่กลับลงไปในถ้วยช็อกโกแลตเหมือนเดิม
12. คนช็อกโกแลตให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปทดสอบอีกครั้ง จนกว่าจะได้ช็อกโกแลตตามลักษณะที่ต้องการ (เพื่อทำให้ช็อกโกแลตที่ได้นั้นสวยงามอาจจะต้องทำการทดสอบอย่างนี้อยู่หลายครั้ง)
                                        
13. เมื่อผ่านขั้นตอนการทดสอบแล้ว ให้ใช้ช้อนตักช็อกโกแลตลงบนแม่พิมพ์ประมาณครึ่งหนึ่งของแต่ละหลุม
14. เคาะที่ก้นแม่พิมพ์เพื่อไล่ฟองอากาศออกจากช็อกโกแลต แล้วค่อยเติมช็อกโกแลตแต่ละหลุมให้เต็ม
                                        
15. นำช็อกโกแลตไปแช่ตู้เย็นประมาณ 10 นาที สังเกตุดูที่ก้นของแม่พิมพ์ว่าช็อกโกแลตร่อนออกจากแม่พิมพ์แล้วหรือยัง เมื่อได้แล้วนำไปเคาะออกจากแม่พิมพ์ (จะต้องไปเคาะให้ห้องแอร์หรือในตู้เย็นเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้นจะมีไอน้ำมาเกาะที่ช็อกโกแลตทำให้ช็อกโกแลตไม่สวย)
16. นำช็อกโกแลตส่วนที่เหลือเทลงแม่พิมพ์ อีกครั้งจนกว่าจะหมด (ทำตามขั้นตอนที่ 15 ซึ่งจะได้ประมาณ 26-28 ชิ้น)
หมายเหตุ ช็อกโกแลตที่ค้างอยู่ในชามห้ามทิ้งไว้ในห้องแอร์อย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้ช็อกโกแลตแข็งจนเทลงแม่พิมพ์ไม่ได้ หากช็อกโกแลตในชามแข็งหนืดจนเกินไปให้ใช้ไดร์เป่าผมเป่าที่ชามแล้วคนจนหายหนืด ห้ามเป่าจนช็อกโกแลตละลายเด็ดขาด หรือให้นำเข้าไมโครเวฟ เพียงแค่ 10 วินาทีเท่านั้น แล้วนำมาคนจนหายหนืด หลังจากนั้นจึงค่อยเทลงแม่พิมพ์จนช็อกโกแลตหมด ขั้นตอนทั้งหมดนี้สามารถใช้ทำช็อกโกแลตได้ทั้ง Dark Chocolate, Milk Chocolate, White Chocolate

รู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ

ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้ว เนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น 

วิตามินเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ 




1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD) 




2. สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่ คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด 
2.1 ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี 
2.2 ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือวิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR) 

ผิวชั้นนอก (Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ 

คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย คือ 

1. มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง 
2. สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด 
3. หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง 
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์ 
5. ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว 
6. ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง 

ส่วนผสมสำคัญในครีมบำรุงผิวและต่อต้านการเกิดริ้วรอย




วิตามินซี (Ascorbic Acid)
ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระและเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น เอนไซม์เฟอร์ริกและคิวปริกเมทัลเลี่ยนส์ (Ferric/Cupric Metalions Enzymes) ในขณะเดียวกันวิตามินซียังสามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นตัวดึงวิตามินอีมาจากโตโกฟิรอลแรดิคัลได้ แต่ข้อด้อยของวิตามินซี คือ ถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง ความชื้น ออกซิเจน ความร้อน และด่าง 
ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. ส่วนผู้หญิงมีครรภ์และผู้สูบบุหรี่ต้องการมากขึ้นเป็นประมาณวันละ 140 มก. อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว การรับประทานวิตามินซีค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปจะไปอยู่ในผิวชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 5 เท่า และมีผลในการช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว ช่วยสมานแผล ชะลอการร่วงโรยของผิว และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง 

วิตามินซีส่วนใหญ่อยู่ในรูปของกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ได้แก่ แอสคอร์บิลพาลมิเทต และแอสคอร์บิลฟอสเฟต ซึ่งแอสคอร์บิลฟอสเฟตเป็นวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ดีและคงตัวอยู่ได้นานถึง 6 เดือน จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด ส่วนแอสคอร์บิลพาลมิเทตนั้นละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงใช้เป็นส่วนผสมในครีม โลชั่น และน้ำมัน ข้อดีของสารตัวนี้คือมีค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เป็นกลางจึงไม่ระคายเคืองต่อผิว 

สาระสำคัญ.....จากการทดสอบพบว่า การทาวิตามินซีบนผิวสามารถลดอาการบวมแดงหรืออาการไหม้จากแสงแดดได้ โดยหากผสมวิตามินอี ลงไปด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลใกล้เคียงกับครีมกันแดดที่มีออกซิเบนโซนเป็นส่วนประกอบ และหากใช้วิตามินซี วิตามินอี และออกซิเบนโซน ร่วมกันก็จะสามารถป้องกันภาวะพิษจากแสงแดดได้เกือบ 100% อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถป้องกันการหย่อนยานของผิวได้ รวมทั้งยังไม่มีผลการศึกษาและทดสอบกับคนจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในเรื่องดังกล่าว 



วิตามินอี (Alpha-Tocopherol)
วิตามินอีประกอบด้วยโทโคฟีโรลส์ (Tocopherols) และโทโคเทรียโนลส์ (Tocotrienols) ซึ่งพบในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม เนื้อสัตว์ และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์สำคัญในพลาสม่าและเม็ดเลือดแดงที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมัน (Lipid) ในเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่า ผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า มีปริมาณวิตามินอีมากกว่าผิวหนังบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อมไขมันคือช่องทางสำคัญในการนำวิตามินอีสู่ผิวหนัง วิตามินอีสามารถละลายได้ในไขมัน ทนความร้อนและความเป็นกรด-ด่างได้ดี แต่จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสงและออกซิเจน 

ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึงวันละ 3,000 มก. อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตและเบาหวาน ไม่ควรใช้ในขนาดสูงกว่า 4,000 มก. และพบว่ายาระบายและยาคุมกำเนิดมีฤทธิ์ต้านวิตามินอีด้วย วิตามินอีมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการรักษาความเยาว์วัยของผิว คือ ช่วยในเรื่องการสร้างตัวของเซลล์ใหม่ การทำงานของต่อมและฮอร์โมน รวมทั้งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป การขาดวิตามินอี ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะ แตกง่าย และคอลลาเจนที่ผิวหนังลดลง จึงเกิดเป็นริ้วรอย และมีการสะสมของไขมันอย่างผิดปกติ 
ผลการทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น ในการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง การทาและการรับประทานวิตามินอีจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ส่วนการรับประทานวิตามินเอและวิตามินอีอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งขั้นพื้นฐานได้ถึง 70% และพบด้วยว่า การรับประทานวิตามินอีวันละ 400 มก. ในผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะทำให้แผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่การทาวิตามินอีกลับไม่มีผลต่อความหนาและสภาพของแผลเป็น 

สาระสำคัญ ส่วนประกอบของ วิตามินอี ที่น่าสนใจ และได้ผลการใช้เป็นที่น่าพอใจจะเป็นตัว tocopheryl acetate ค่ะ ซึ่งดีกว่า วิตามินอี อนุพันธุ์อื่น สังเกตุตัวนี้ว่าควรอยู่ในลำดับต้นๆ จะดีมากเลยค่ะ และจำไว้ว่าวิตามินอีที่ใช้ควรมีตั้งแต่ 2% ขึ้นไปด้วยนะคะ 



วิตามินเอ (Retinol)
พบมากในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันตับปลา ร่างกายจะสะสมวิตามินเอไว้ในตับ วิตามินเอจะออกฤทธิ์เมื่อแปรสภาพเป็นกรดเรติโนอิก แต่จะเสื่อมสภาพจากแสง ออกซิเจน และค่า pH ที่เปลี่ยนแปลง สารธรรมชาติและอนุพันธ์สังเคราะห์จากวิตามินเอนั้นเรียกรวม ๆ ว่า เรตินอยด์ (Retinoids) เรตินอยด์ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง อาทิ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโต แยกความแตกต่างของเซลล์บุผิว ชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ลดอาการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค กระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์เมทาลโลโปรตีเนส (Metallo Proteinase Enzyme) ที่เป็นตัวการในการสลายคอลลาเจน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การทาเรตินอยด์จะช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระ ฝ้า จางลง ลดจำนวนและขนาดของแอคตินิค เคราโตส (Actinic Keratoses) 




เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
สารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระไลพิดเพอร์ออกไซด์ (Lipid Peroxidation) พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง และถูกดูดซึมสู่ร่างกายได้ดีเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมัน 
ในการทดลองกับสัตว์พบว่า เบต้าแคโรทีน สามารถยับยั้งมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด แต่ประสิทธิภาพนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในคน เราสามารถรับประทานเบต้าแคโรทีนได้ถึงวันละ 180 มก. โดยไม่เป็นอันตราย แต่หากรับประทานมากกว่า 30 มก. ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้ 




วิตามินบี 3 (Niacinamide)
วิตามินที่ละลายในน้ำ พบในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างฟิแลกกริน (Filaggrin) และอินโวลูกริน (Involucrin) มีความคงตัวสูงเมื่อถูกแสง ออกซิเจน และความร้อน

สาระสำคัญ.....Niacinamide สามารถทำงานร่วมกับวิตามินอีได้ดี 



โคเอ็นไซม์ คิวเท็น และ โค คิวเท็น ยูบีควิโนน (Co-Enzyme Q10, Co Q10 Ubiquinone)
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็นกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน พบมากในอวัยวะที่มีการเผาผลาญสูง ได้แก่ หัวใจ ไต และตับ หากขาดคิวเท็น เซลล์จะเสื่อมสภาพ เป็นผลให้ผิวพรรณทรุดโทรมและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนยูบีควินอลซึ่งเป็นรูปลดทางเคมีของยูบีควิโนน มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ละลายในไขมันเพียงชนิดเดียวที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เอง จะพบยูบีควินอลในบริเวณผิวหนังชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 10 เท่า 

ในการทดสอบบนเซลล์ผิวหนังมนุษย์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถป้องกันการสันดาปจากแสงยูวีเอ ช่วยชะลอความเสื่อมตามธรรมชาติ ให้เซลล์สร้างเส้นใยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรเนทที่ให้ความชุ่มชื้นในผิวชั้นใน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ในเคราติโนไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผมและเล็บ มีความระคายเคืองต่ำแม้จะใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูง สามารถใช้ในผิวบอบบาง แต่อาจมีอาการคันยิบ ๆ รอบจมูกเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องสำอางบางชนิด อย่างไรก็ตาม จากการทดลองกับหนู พบว่า โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ไม่ได้ช่วยยืดอายุ และไม่มีผลต่อการสะสมตัวของกระสีที่เกิดจากไขมันในเนื้อเยื่อซึ่งพบในสิ่งมีชีวิตที่อายุมากแล้ว จากการทดลองทาโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สังเคราะห์รอบดวงตาของอาสาสมัคร พบว่าสามารถลดรอยย่นรอบดวงตาได้ ในปัจจุบันมีการนำโคเอ็นไซม์ คิวเท็นมาใช้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพื่อป้องกันและรักษาโรคหลายชนิด รวมทั้งชะลอความแก่ 




ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD)
เป็นเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งในระบบป้องกันที่เป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญภายในของร่างกาย จากการทดลองพบว่า การเลี้ยงหนอนปกติด้วยสารสังเคราะห์ที่คล้ายกับซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส จะช่วยยืดอายุได้ถึง 44% และในหนอนที่แก่เร็วกว่าปกติจะช่วยยืดอายุได้ถึง 67% 

สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavanoids Compounds)
สามารถยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น แซนทีน ออกซิเดส (Xanthine Oxidase) และไลโปเปอร์ออกซิเดส (Lipo Peroxidase) 

นอกจากนี้ยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอ (DNA) ได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูติน (Rutin) พีโนจีนอล (Pynogenol) เควอเซติน (Quercetin) แคทเทชิน (Catechin) และแนรินกิน (Naringin) โดยที่สารรูตินและเควอเซติน มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า รูตินและกรดโคลโรเจนิก (Chlorogenic Acid - CGA) พบมากในใบยาสูบ ส่วนพีโนจีนอลหรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสน (French Maritime Pine) และเมล็ดองุ่น นอกจากวิตามินที่ผ่านการทดสอบมาอย่างมากมายแล้ว สมุนไพรไทย ๆ เช่น ว่านหางจระเข้ หรืออโลเวร่า ก็นับเป็นสมุนไพรหลักในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อผิวหนัง มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวิตามินอีธรรมชาติ คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในผิวหนังชั้นลึกที่สุดของหนังกำพร้า มีผลทำให้ช่วยสมานแผล รวมถึงการใช้ทารักษาแผลน้ำร้อนลวก แผลเป็น ฯลฯ

การผลิตแผ่นซีดีที่เรียกว่า แผ่นปั๊ม


ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ

        ปัจจุบันการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดี หรือแม้แต่ทำสำเนาแผ่นซีดีทั้งแผ่นสามารถทำได้ง่ายและสะดวก โดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คที่มีเครื่องเขียนแผ่นซีดี (CD writer) และนิยมใช้แผ่นซีดีอาร์ (CDR) ซึ่งเป็นแผ่นซีดีที่ใช้เขียนลงไปได้ครั้งเดียว แผ่นซีดีที่ถูกเขียนหรือบันทึกลงไปแล้ว จะเรียกว่าแผ่นไรท์ หรือแผ่นเบิร์น หรืออื่นๆ ตามแต่จะเรียกกัน
        สำหรับซีดีภาพยนตร์ ซีดีเพลง ซีดีโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือเกม ที่ผลิตจากโรงงาน (ทั้งถูกและผิดกฎหมาย) มักถูกเรียกว่าแผ่นปั๊ม เนื่องจากแผ่นซีดีถูกขึ้นรูปด้วยเครื่องจักร แต่กว่าจะออกมาเป็นแผ่นปั๊มได้ก็ต้องผ่านหลายขั้นตอนด้วยกัน ซึ่งบทความนี้จะนำกระบวนการผลิตแผ่นปั๊ม หรือแผ่นซีดีแบบเชิงพาณิชย์มาเผยแพร่ให้ได้ทราบกัน
 
โครงสร้างของแผ่นซีดี
        ก่อนจะทราบถึงกระบวนการผลิต เราควรจะรู้จักโครงสร้างของแผ่นซีดีกันสักนิดก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร แผ่นซีดีหรือแผ่นปั๊มที่ผลิตจากโรงงาน (ในภาพประกอบคือ ซีดีรอม (CD-ROM)) ประกอบด้วยโครงสร้างหลัก 3 ชั้น ได้แก่ 1.ชั้นพลาสติกโพลิคาร์บอเนต (polycarbonate) เป็นโครงสร้างหลักและเป็นชั้นบรรจุข้อมูลโดยข้อมูลจะอยู่ในรูปของหลุมหรือพิท (pit) และพื้นหรือแลนด์ (land) 2.ชั้นโลหะอะลูมิเนียม (หรือเงินหรือทอง) เป็นชั้นโลหะที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงเลเซอร์ในเครื่องเล่น 3.ชั้นแล็คเกอร์ (lacquer) เป็นชั้นโพลิเมอร์ที่ใช้ป้องกันชั้นเคลือบโลหะ และใช้พิมพ์ข้อความหรือภาพลงบนแผ่น
        ขณะที่โครงสร้างของแผ่นซีดีอาร์มี 4 ชั้นด้วยกัน โดยชั้นที่เพิ่มขึ้นมาคือ ชั้นสีอินทรีย์ (organic dye) เป็นชั้นที่ใช้บันทึกข้อมูลบนแผ่นซีดี
ขั้นตอนการผลิต
 

1.กระบวนการผลิตแผ่นซีดี เริ่มจากการเตรียมแผ่นแก้ว โดยนำแผ่นแก้วกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 240 มิลลิเมตร หนา 6 มิลิเมตรมาลอกชั้นสารไวแสงเก่าออก และนำไปล้างทำความสะอาดด้วยน้ำดีไอออไนซ์ (de-ionized water-น้ำที่ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์โดยการไหลผ่านเรซินที่กักประจุไว้ได้)


2.แผ่นแก้วจะถูกนำเข้าเครื่องเคลือบสารด้วยวิธีปั่น (spin coater) เพื่อเคลือบสารรองพื้น (primer) และเคลือบชั้นสารไวแสง (photoresist) หนาประมาณ 0.12 ไมครอน (micron) ทับลงไป จากนั้นนำแผ่นแก้วเข้าตู้อบเพื่ออบสารไวแสงให้แห้ง
        กระบวนการเตรียมแผ่นต้นแบบต้องดำเนินการในห้องสะอาด (clean room) ที่มีระบบควบคุมปริมาณอนุภาคในอากาศ ทั้งนี้เพื่อปกป้องสารไวแสงจากฝุ่น ผง และอนุภาคในอากาศ

 3.แผ่นแก้วที่เคลือบสารไวแสงเรียบร้อยแล้วจะถูกนำเข้าเครื่องยิงสัญญาณเลเซอร์ (laser beam recorder) เพื่อบันทึกข้อมูล (ภาพ, เสียง, โปรแกรม) ที่ถูกแปลงให้อยู่ในรูปของเลขฐานสองลงบนชั้นสารไวแสง โดยบริเวณที่สารไวแสงถูกยิงด้วยแสงเลเซอร์จะเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นผลให้สารไวแสงบริเวณนั้นแข็งตัว (ตำแหน่งสีน้ำเงิน)
 

4.หลังจากบันทึกสัญญาณลงบนชั้นไวแสงเรียบร้อยแล้ว แผ่นแก้วจะถูกนำไปขจัดชั้นสารไวแสงที่ไม่เกิดการแข็งตัว (บริเวณที่ไม่ถูกยิงด้วยแสงเลเซอร์) ออก ทำให้ชั้นสารไวแสงเกิดบริเวณที่เรียกว่า หลุมหรือพิท (pit) กับบริเวณที่เรียกว่า พื้นหรือแลนด์ (land) ขึ้น
 

5.แผ่นแก้วที่ได้จากขั้นตอนที่ 4 จะถูกนำมาฉาบผิวชั้นไวแสงด้วยโลหะเงินหรือนิกเกิล (nickel) เพื่อเตรียมผิวแผ่นซีดีที่บรรจุข้อมูลแล้วให้เหมาะสมต่อการขึ้นรูปด้วยไฟฟ้า
6.ขึ้นรูปด้วยไฟฟ้า (electroforming) ในขั้นตอนนี้แผ่นแก้วที่ฉาบผิวด้วยโลหะเงินหรือนิกเกิล จะถูกใช้เป็นแบบเพื่อสร้างแบบพิมพ์ตัวพ่อ (father) โดยนำด้านที่เคลือบชั้นไวแสงมาชุบนิกเกิลโดยใช้วิธีการชุบโลหะด้วยไฟฟ้า (electroplating) และชุบแบบพิมพ์นิกเกิลให้มีความหนาประมาณ 0.3 มิลลิเมตร  
7.เมื่อชุบนิกเกิลจนได้ความหนาตามต้องการแล้ว ทำการแกะแบบพิมพ์ตัวพ่อออกจากแผ่นแก้ว  ในขั้นตอนนี้ผู้ผลิตสามารถนำแบบพิมพ์ตัวพ่อไปใช้ผลิตแผ่นซีดีได้ทันที แต่โดยทั่วไปผู้ผลิตมักนำแบบพิมพ์ตัวพ่อไปใช้เป็นต้นแบบเพื่อสร้างแบบพิมพ์ตัวแม่ (mother) ออกมา
8.การสร้างแบบพิมพ์ตัวแม่ จะกระทำโดยนำแบบพิมพ์ตัวพ่อมาชุบนิกเกิลด้วยกระแสไฟฟ้าซ้ำ (เหมือนขั้นตอนที่ 6) เพื่อขึ้นรูปแบบพิมพ์ตัวแม่ ซึ่งแบบพิมพ์ตัวแม่ที่ได้จะมีร่องกลับด้านกับแบบพิมพ์ตัวพ่อทั้งหมด ในกระบวนการผลิตจริงแบบพิมพ์ตัวพ่อ 1 ตัวจะสามารถใช้ผลิตแบบพิมพ์แม่ได้ประมาณ 3-6 ตัว
9.แบบพิมพ์ตัวแม่ที่ผลิตได้จากขั้นตอนที่ 8 จะถูกใช้ในการผลิตแบบพิมพ์ตัวลูก หรือสแตมเพอร์ (stamper) ต่อ โดยใช้กระบวนการชุบขึ้นรูปลักษณะเดิม ซึ่งแบบพิมพ์ตัวแม่ 1 ตัวสามารถใช้ผลิตสแตมเพอร์ได้มากถึง 10 ตัว
10.สแตมเพอร์ที่ผลิตออกมาจะถูกนำไปทำความสะอาด และตัดให้มีขนาดพอดีสามารถประกอบเข้ากับตัวกดแม่พิมพ์ฉีด (injection-molding press) ของเครื่องฉีดขึ้นรูปพลาสติก (injection moulding machine)

11.เป็นขั้นตอนการผลิตแผ่นซีดี ด้วยเครื่องฉีดขึ้นรูปพลาสติก ซึ่งเครื่องจักรจะประกบแม่พิมพ์โลหะ 2 ชิ้นเข้าด้วยกัน จากนั้นโพลิคาร์บอนเนตหลอมเหลวจะถูกฉีดเข้าแม่พิมพ์ด้วยแรงดันสูง
 

12.เมื่อพลาสติกแข็งตัว แม่พิมพ์จะถูกเปิดออก และแผ่นโพลิคาร์บอเนตจะถูกดันออกจากแม่พิมพ์ การผลิตแผ่นพลาสติกด้วยเครื่องฉีดขึ้นรูปพลาสติกนี้ เครื่องจักรสามารถผลิตแผ่นพลาสติกได้ประมาณ 550-900 แผ่น/ เครื่อง/ ชั่วโมง (ประมาณ 9-15 แผ่น/ เครื่อง/ นาที)
13.แผ่นพลาสติกโพลิคาร์บอเนตที่ออกมาจากขั้นตอน 12 เป็นแผ่นพลาสติกใสที่มีร่องบันทึกข้อมูลบนแผ่นแล้ว แต่ยังไม่สามารถใช้กับเครื่องเล่นภาพหรือเสียงใดๆ ได้ เนื่องจากตัวพลาสติกใสไม่สามารถสะท้อนแสงเลเซอร์จากหัวอ่านสัญญาณในเครื่องเล่นได้ 

14.นำแผ่นโพลิคาร์บอเนตมาฉาบผิวด้านที่บรรจุข้อมูลด้วยโลหะอะลูมิเนียมหรือเงินหรือทองโดยวิธีสปัตเตอร์ริง (sputtering) เพื่อให้แสงสามารถสะท้อนออกจากพื้นที่ผิวที่เป็นพิทและแลนด์ได้  
15.นำแผ่นโพลิคาร์บอเนตที่ฉาบอะลูมิเนียมแล้วมาเคลือบด้วยอะคริลิกหรือแล็คเกอร์ และฉายรังสียูวีเพื่อให้ชั้นแล็คเกอร์แข็งตัว
 

16.ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการพิมพ์ภาพหรือข้อความลงบนชั้นแล็คเกอร์ ที่เรียกว่า การสกรีนแผ่น แผ่นซีดีที่ผลิตได้จะถูกบรรจุใส่กล่อง หรือซองเพื่อเตรียมจัดส่งต่อไป
        ทั้งหมดนี้คือ ขั้นตอนหลักของการผลิตแผ่นซีดีภาพยนตร์ ซีดีเพลง และซีดีอื่นๆ เชิงพาณิชย์ สำหรับกระบวนการผลิตสินค้าประเภทดีวีดีจะคล้ายกับการผลิตแผ่นซีดี แต่เครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตจะมีความละเอียดและซับซ้อนกว่า ด้วยเหตุที่โครงสร้างของแผ่นดีวีดีมีความซับซ้อนมากกว่าแผ่นซีดีนั่นเอง

กระดาษทิชชู่


กระดาษทิชชู่ (อังกฤษtissue paper) เป็นกระดาษประเภทหนึ่งที่ผลิตจากเยื่อกระดาษ โดยทั่วไปกระดาษทิชชู่แบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามประโยชน์ใช้สอย แต่ในประเทศไทย ผู้คนมักนิยมเรียกเหมารวมกระดาษในกลุ่มนี้ว่ากระดาษทิชชู่ และมักไม่แยกการใช้งานของกระดาษทิชชู่ในกลุ่มนี้

ประเภทของกระดาษทิชชู่

กระดาษเช็ดหน้า
กระดาษเช็ดหน้า (facial tissue) เป็นกระดาษทิชชู่ ที่มีคุณสมบัติความเหนียว นุ่ม เนื่องจากใช้สำหรับซับน้ำภายหลังล้างหน้า หรือใช้สำหรับชำระล้างเครื่องสำอางค์ เป็นต้น มักจะบรรจุมาในกล่องทรงสี่เหลี่ยม หรือในรูปห่อพลาสติกขนาดเล็ก โดยมีการออกแบบลวดลายบรรจุภัณฑ์ที่งดงาม กระดาษเช็ดหน้านิยมทำเป็นสีขาว
กระดาษชำระ
กระดาษชำระ (toilet paper) เป็นกระดาษทิชชู่ ที่มีคุณสมบัติความเปี่ยยยุ่ยง่ายเมื่อโดนน้ำ ในต่างประเทศจะใช้กระดาษชำระเฉพาะในห้องส้วมเท่านั้น โดยทั่วไปมีลักษณะเป็นม้วนกลมความกว้าง 4.5 นิ้ว กระดาษชำระอาจมีการใส่สี และพิมพ์ลวดลายเพื่อเพิ่มความงาม
กระดาษเช็ดปาก (table napkins) กระดาษทิชชู่ประเภทนี้มีสองลักษณะ ประเภทแรก เป็นกระดาษทิชชู่ที่จัดไว้ในห้องน้ำ เพื่อเช็ดทำความสะอาดมือ อีกประเภทใช้สำหรับวางบนโต๊ะอาหาร ใช้แทนผ้าเช็ดปากสำหรับการรับประทานอาหารแบบตะวันตก ในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา มักมีการทำกระดาษเช็ดปากเป็นสีสัน และลวดลายต่าง ๆ สวยงามเพื่อใช้ประดับบนโต๊ะอาหาร สำหรับประเทศไทยนั้น กระดาษเช็ดปากนิยมทำเป็นสีชมพู เนื่องจากโดยมากจะนำไปใช้ในงานมงคล เช่น งานมงคลสมรส เป็นต้น
กระดาษชำระอเนกประสงค์
กระดาษชำระอเนกประสงค์ (paper towels) เป็นกระดาษทิชชู่สำหรับใช้ในงานบ้านทั่วไป ทดแทนผ้าเช็ดพื้น หรือผ้าเช็ดโต๊ะ ในประเทศไทยกระดาษชำระอเนกประสงค์ไม่เป็นที่นิยม และไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก โดยทั่วไปจำผลิตออกมาในรูปแบบม้วน แต่มีความกว้างของแผ่นประมาณ 9 - 10 นิ้ว และเนื้อกระดาษมีความเหนียวเพื่อใช้ทำความสะอาด และการใช้งานทั่วไป
กระดาษห่อของ (wrapping tissue) เป็นกระดาษทิชชู่ที่ใช้เพื่อห่อหุ้มวัตถุสิ่งของ